ในการทำประกันนั้นไม่ว่าจะเป็นการทำประกันชีวิต ประกันรถยนต์หรือประกันบิ๊กไบค์ก็ตามล้วนแล้วแต่ต้องมีการเคลมเกิดขึ้น โดยการเคลมนั้นหมายถึงการที่ผู้ทำประกันเรียกร้องให้ผู้รับทำประกันหรือบริษัทประกันชดเชยค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่ได้ตกลงกันไว้นั่นเอง และโดยส่วนมากแล้วบริษัทประกันมักต้องการให้เกิดการเคลมน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลับกันสำหรับผู้ทำประกันก็อยากจะเคลมให้มากที่สุดให้คุ้มกับเงินที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไปเช่นกัน แต่เรามักจะได้ยินกันมาว่าหากเราทำการเคลมกับบริษัทไปแล้วปีต่อไปถ้าเราต้องการที่จะต่อประกันกับบริษัทเดิมอยู่ค่าเบี้ยประกันภัยจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นคนส่วนมากจึงพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายหรือป้องกันให้เกิดการเคลมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรามาดูกันว่าทำไมเมื่อเกิดการเคลมแล้วค่าเบี้ยประกันถึงได้เพิ่มขึ้น เหตุผลที่หากมีการเคลมแล้วทำให้เบี้ยประกันเพิ่มขึ้น การเคลมบ่อยนั้นย่อมทำให้บริษัทประกันมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นดังนั้นบริษัทประกันจึงไม่ต้องการให้เกิดการเคลมเลยหรือหากมีก็ต้องมีน้อยที่สุด ซึ่งสำหรับลูกค้าแล้วถ้าไม่มีประวัติการเคลมเลยในปีต่อ ๆ ไป บริษัทประกันมักจะมีส่วนลดให้กับลูกค้ารายนั้น เรียกได้ว่าทำให้เสียค่าประกันที่ถูกลง โดยลูกค้าสามารถเช็คเบี้ยประกันได้จากตัวแทนนายหน้าหรือ Call center ของบริษัทประกันที่ทำไว้ได้เช่นกัน โดยในการทำประกันนั้นเท่ากับว่าบริษัทประกันแบกรับความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายให้กับลูกค้าไว้ ดังนั้นหากมีการเคลมเกิดขึ้นเท่ากับว่าบริษัทประกันต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้นซึ่งบางครั้งความเสียหายก็มีมากกว่าค่าเบี้ยประกันที่ลูกค้าได้ทำไว้ จึงส่งผลให้ในปีต่อไปบริษัทประกันต้องมีการปรับขึ้นค่าเบี้ยประกันของลูกค้าที่มีการเคลม ซึ่งหากบางรายมีการเคลมบ่อยมาก ๆ บริษัทประกันอาจจะไม่รับลูกค้ารายนั้นเป็นลูกค้าอีกเลยก็ว่าได้ เหมือนรับมาแล้วทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทมีมากขึ้นซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้ที่ได้รับหรือค่าเบี้ยประกันแล้วถือว่าได้ไม่คุ้มเสียนั่นเอง สำหรับใครที่ทำประกันไว้แล้วมีการเคลมเกิดขึ้นก็สามารถขอเช็คเบี้ยประกันของปีต่อไปกับตัวแทนนายหน้าได้ล่วงหน้า เพื่อพิจารณาว่าควรต่อบริษัทเดิมหรือต้องเปลี่ยนบริษัทประกัน โดยในการเปลี่ยนบริษัทประกันก็สามารถเช็คเบี้ยประกันคร่าว ๆ ผ่านเวปไซต์ของแต่ละบริษัทได้เช่นกัน